Digital Life Service Provider
เชิงรายได้ในปี 2562
เชิงผู้ใช้บริการในปี 2562
เชิงผู้ใช้บริการในปี 2562
ข้อมูลการดำเนินงานที่สำคัญ
คงความเป็นผู้นำในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในฐานะแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจ
ตลาดเชิงรายได้
(กิกะไบต์/เลขหมายที่ใช้งานดาต้า/เดือน)
ข้อมูลการดำเนินงานที่สำคัญ
เน้นขยายฐานลูกค้าคุณภาพ พร้อมบริการคอนเวอร์เจนซ์
อินเทอร์เน็ตบ้านและคอนเทนต์ผ่าน
(fixed-mobile-content convergence)
อย่างมั่นคง
ดิจิทัลเซอร์วิส
สร้างแหล่งรายได้ใหม่ในระยะยาว สนับสนุนธุรกิจหลัก
ขยายฐานผู้ใช้บริการ กว่า 2 ล้านราย ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลายทั้งบริการฟรีและมีค่าใช้จ่าย ทั้งในรูปแบบของโทรทัศน์ ภาพยนต์ เพลง และ เกมส์
ธุรกิจคลาวด์ สำาหรับลูกค้าองค์กร
Internet of Things (IoT)
Rabbit Line Pay และ mPay ให้ความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการสำหรับลูกค้าทั่วไป และลูกค้าองค์กร
ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มดัชนีโลกและดัชนีตลาดเกิดใหม่ประจำาปี 2562
ได้รับเลือกให้เป็นหุ้นยั่งยืนใน Thailand Sustainability Investment Index เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
ข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเติบโต ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 8% เทียบกับปีก่อน
การใช้งาน 4G ที่เพิ่มขึ้นและการขยายฐานลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์
เป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของรายได้
กำไรก่อนภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA)
(ล้านบาท, อัตรากำไร)
EBITDA เติบโต 6.3% จากปีก่อน จากรายได้ที่เติบโตและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
กำไรสุทธิ
(ล้านบาท, อัตรากำไรสุทธิ)
กำไรสุทธิคงที่จากปีก่อน แม้ลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่องและมีการแข่งขันสูง
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
(ล้านบาท)
กระแสเงินสดยังคงแข็งแกร่ง พร้อมต่อการลงทุนเพื่อเติบโตในระยะยาว
เงินปันผล (บาท/หุ้น)
และอัตราการจ่ายเงินปันผล
คงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง และรักษาโครงสร้างทุนที่เหมาะสม
หนี้สินสุทธิ
ต่อ EBITDA (เท่า)
บริหารระดับหนี้สินต่อกำไรให้เหมาะสม พร้อมรองรับการเติบโต
อัตราผลตอบแทนของ
ส่วนผู้ถือหุ้น
สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขันในปี 2562 และแนวโน้มในปี 2563
ส่วนแบ่งตลาดเชิงผู้ใช้บริการของธุรกิจ โทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโต จากการใช้งาน 4G ที่เติบโตต่อเนื่อง
การจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ในการเตรียมความพร้อมกับเทคโนโลยี 5G
ตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยกระดับความเร็ว เข้าสู่ 200 – 300 เมกะบิตต่อวินาที
ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงขยายตัว และการใช้งาน 4G จะยังคงเติบโต
ลงทุนในเทคโนโลยี 5G ต่อยอด สร้างรูปแบบทางธุรกิจและแหล่งรายได้ใหม่
ตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเติบโต เสริมด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านแบบไร้สาย
กลยุทธ์ 7 ด้าน
สู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
เรียน ท่านผู้ถือหุ้น
ในปี 2562 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ดีปีหนึ่งของเอไอเอส แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ค่อยดีนักโดยมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเติบโตที่ร้อยละ 2.4 ประกอบกับสภาพการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทั้งตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่เอไอเอสยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยส่วนแบ่งการตลาดเชิงรายได้กว่าร้อยละ 48 สูงที่สุดในอุตสาหกรรม สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้แบรนด์เอไอเอส ไฟเบอร์ แม้เราจะเข้าสู่ธุรกิจนี้เพียง 5 ปี แต่เอไอเอส ไฟเบอร์มีอัตราการเติบโตเชิงรายได้และจำนวนผู้ใช้บริการสูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่น บรรลุเป้าหมายผู้ใช้บริการเติบโตต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1 ล้านรายในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเชิงจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 10 โดยในปีนี้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้เริ่มสร้างผลกำไรสุทธิเป็นปีแรก ในส่วนของธุรกิจลูกค้าองค์กร หลังจากเข้าซื้อกิจการของซีเอสแอลมาเสริมทัพ ทำให้เอไอเอสสามารถต่อยอดและมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย และเราได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรมากขึ้น โดยเรามีเป้าหมายเป็นผู้นำการให้บริการ ICT แบบครบวงจร ส่งผลให้เอไอเอสสามารถเติบโตในตลาดลูกค้าองค์กรได้อย่างแข็งแกร่งและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ เอไอเอสได้ใช้กลยุทธ์ต่อยอดการหารายได้จากฐานลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เอไอเอสมีมากที่สุดกว่า 42 ล้านราย โดยได้ลงทุนในการทำแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2562 เอไอเอสได้ขยายการเติบโตของบริการวีดีโอแพลตฟอร์ม AIS PLAY อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีลูกค้าที่ใช้งาน AIS PLAY เติบโตเป็น 2 ล้านราย ทั้งบนแพลตฟอร์มมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน นอกจากนี้ เอไอเอสได้รุกสู่ธุรกิจบริการประกันภัยโดยร่วมมือกับบริษัทประกันภัยเพื่อเป็นช่องทางในการขายประกันภัยแบบออนไลน์ อีกทั้งได้ขยายบริการเข้าสู่ตลาด eSports เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาดเกม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการให้บริการด้านดิจิทัลต่อไปในอนาคตของเอไอเอส เพื่อให้ธุรกิจของเอไอเอสเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน
ตลอด 29 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้เอไอเอสยังคงเป็นที่ 1 ต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน คือ การให้ความสำคัญกับลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน โดยเรามองลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในทุกด้าน ทั้งการส่งมอบเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เรามีความเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจนับจากนี้ไปต้องอาศัยความร่วมมือจากคู่ค้า โดยเฉพาะในยุค 5G ที่กำลังจะมาถึง จำเป็นจะต้องมีพันธมิตรจากหลากหลายธุรกิจเข้ามาช่วยให้อุตสาหกรรมเติบโตไปด้วยกัน และเอไอเอสยังให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยเน้นส่งเสริมให้พนักงานมีการปรับตัวและพัฒนาทักษะต่างๆ เพื่อการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปให้ได้
สำหรับเป้าหมายและทิศทางของเอไอเอสใน 3-5 ปีข้างหน้า แม้เอไอเอสเองจะเป็นที่ 1 ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เอไอเอสต้องการผันตัวเองจากผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom provider) สู่การเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์ (Digital life service provider) เพราะสมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือของลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้มากมาย และเราเชื่อว่าลูกค้าของเราในวันนี้ไม่ได้ต้องการใช้สินค้าและบริการของเราแค่การติดต่อสื่อสาร เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ในการทำธุรกิจของเอไอเอส วงแรกที่เรามอง คือ เอไอเอสยังต้องเสริมสร้างความแข็งแรงในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น เรายังคงพัฒนาในส่วนวงที่ 2 ที่เรียกว่าเครื่องสร้างรายได้ใหม่ ทั้งการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการให้บริการลูกค้าองค์กร ส่วนที่ 3 คือ แพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเป็นการวางรากฐานและยุทธศาสตร์ในการหารายได้จากอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต
ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี 5G จะช่วยผลักดันให้เอไอเอสก้าวสู่มิติใหม่ที่จะส่งมอบบริการดิจิทัลที่สร้างความแตกต่างในแง่ประสบการณ์ของลูกค้า และทำให้เอไอเอสมีโอกาสในการแสวงหารายได้ในธุรกิจหรือในบริการที่เกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ใน 1-2 ปีที่ผ่านมา เอไอเอสได้ทดสอบทดลองคลื่นความถี่ 5G เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะให้บริการ 5G ในอนาคตให้กับคนไทย และมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงทรัพยากรต่างๆ ให้ก้าวล้ำอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วนของประเทศ
ความท้าทายในอนาคตของเอไอเอสเกิดจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และคู่แข่งรายใหม่ๆ จากอุตสาหกรรมอื่นเกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้เอไอเอสต้องเร่งปรับตัว และตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทาย เอไอเอสได้ปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้สอดรับกับการทำงานในยุคใหม่ ให้องค์ความรู้พร้อมกับการเพิ่มทักษะด้านใหม่ เพื่อพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ในปี 2562 เอไอเอสได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ทั้งในดัชนีตลาดโลกและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการตระหนักถึงทำธุรกิจโดยคำนึงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เอไอเอสยังคงส่งมอบผลการดำเนินงานที่ดี ด้วยการทำงานที่โปร่งใส รวมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของลูกค้า และเอไอเอสได้ผลักดันโครงการ e-waste ในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และมุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยมีความอัจฉริยะทางการใช้ดิจิตอล (DQ) และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ นำพาประเทศไทยเป็นสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย
เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในสินค้าและบริการของเอไอเอส ขอขอบคุณคู่ค้าทุกรายที่ร่วมกันทำงานอย่างหนัก เพื่อตอบความต้องการของผู้ใช้บริการของเราได้อย่างดีตลอดมา และขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านได้ให้ความไว้วางใจกับเอไอเอส เราในฐานะที่เป็นผู้บริหารและพนักงานของเอไอเอสทุกคน ขอสัญญาว่าเราจะร่วมกันตั้งใจทำงาน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่เราวางไว้ และที่สำคัญก็คือว่าเราจะดูแลและตอบแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องทุกคนอย่างเต็มที่ รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาประเทศตลอดไป
ด้วยความนับถือ
ธุรกิจของเรา
โทรศัพท์เคลื่อนที่
อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ดิจิทัลเซอร์วิส
เอไอเอส ดำเนินธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมมา 29 ปี โดยเริ่มดำเนินงานภายใต้ระบบสัญญาร่วมการงาน หรือสัมปทาน ซึ่งผู้ให้บริการได้รับสิทธิในการใช้คลื่นความถี่จากหน่วยงานของรัฐภายใต้สัญญาในรูปแบบ สร้าง-โอน-ดำเนินการ Built-Transfer-Operate (BTO) ตั้งแต่ปี 2533 โดยสัญญาร่วมดำเนินงานมีระยะเวลา 25 ปี ต่อมา กสทช. ถูกตั้งขึ้นในปี 2553 และจัดประมูลคลื่นความถี่และจัดสรรใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ชุดแรกในปี 2555 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย เนื่องจากใบอนุญาตอยู่ภายใต้ระบบใบอนุญาตซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของนานาชาติในการส่งเสริมการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการได้ให้บริการเทคโนโลยีใหม่ เช่น 3G และ 4G เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
ในปี 2562 เอไอเอสมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 289,669 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 633,287 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 4 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ส่วนแบ่งตลาดเชิงผู้ใช้บริการ
ในปี 2562
เอไอเอสได้เริ่มดำเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้แบรนด์ ‘เอไอเอส ไฟเบอร์’ ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้ใหม่และต่อยอดบริการเพิ่มเติมจากโครงข่ายไฟเบอร์ที่ลงทุนอยู่แล้วในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และจากฐานลูกค้าที่มีอยู่ ปัจจุบันให้บริการในกว่า 57 จังหวัด มีความครอบคลุมถึง 7 ล้านครัวเรือน เอไอเอส ไฟเบอร์ ทำตลาดด้วยจุดเด่นที่เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีไฟเบอร์ถึงบ้าน (FTTH) เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสู่ครัวเรือน และพร้อมรองรับลูกค้าที่ยังใช้งานเทคโนโลยี ADSL ที่ต้องการเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูงขึ้นและความเร็วที่ให้บริการได้สูงสุดถึง 1 กิกะบิตต่อวินาที ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 3.72 ของรายได้การให้บริการรวม โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 1,037,600 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดเชิงผู้ใช้บริการกว่าร้อยละ 10 ของตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ส่วนแบ่งตลาดเชิงรายได้
ในปี 2562
ส่วนแบ่งตลาดเชิงผู้ใช้บริการ
ในปี 2562
ณ สิ้นปี 2562 เอไอเอสยังคงเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยรายใหญ่ที่สุด มีส่วนแบ่งทางการตลาดเชิงรายได้อยู่ที่ร้อยละ 48 และมีผู้ใช้บริการจำนวน 42 ล้านเลขหมายทั่วประเทศ โดยรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 71 ของรายได้รวม และในปีที่ผ่านมามีรายได้เติบโตร้อยละ 4.2 ด้วยคลื่นความถี่ที่เอไอเอสมีสิทธิใช้งานในปัจจุบัน สามารถให้บริการโครงข่ายที่มีคุณภาพทั้งเทคโนโลยี 4G, 3G และ 2G ครอบคลุมกว่าร้อยละ 98 ของประชากร และในปีที่ผ่านมา เอไอเอสได้เริ่มเตรียมความพร้อมสู่ 5G ผ่านการวิจัยพัฒนาและทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G ร่วมกับพันธมิตรและคู่ค้าทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีโครงข่าย การเตรียมความพร้อมในเชิงเทคนิคและกระบวนการทำงาน รวมถึงการทดลองบริการและการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ของหลายอุตสาหกรรม
ธุรกิจส่วนที่สามของเอไอเอส คือ ธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส (Digital Service) คือการพัฒนาบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โครงข่าย แพลตฟอร์มการให้บริการ และโซลูชั่นเพื่อสร้างบริการดิจิทัลให้แก่ทั้งลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร ผ่านการร่วมมือและพัฒนาระบบนิเวศของการทำธุรกิจแบบเชื่อมโยงร่วมกับพันธมิตรเพื่อการเติบโตไปพร้อมกัน ทั้งนี้ เอไอเอสได้เน้นการทำดิจิทัลเซอร์วิสใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ วิดีโอแพลตฟอร์ม (VDO Platform) คลาวด์สำหรับองค์กร (Business Cloud) ธุรกรรมทางการเงินบนมือถือ (Mobile Money) บริการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ (IoT) และบริการแพลตฟอร์มอื่นๆ ทั้งนี้ ธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิสจะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้เอไอเอสสามารถสร้างแหล่งรายได้แหล่งใหม่ในอนาคตนอกเหนือจากการคิดค่าบริการการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือในปัจจุบัน และทำให้เอไอเอสสามารถเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจร (Integrated Player) ผ่านการผนวกสินค้าและบริการจากธุรกิจหลักทั้ง 3 ธุรกิจเข้าด้วยกัน (Convergence)
ธุรกิจของเอไอเอสในส่วนใหญ่โดยเฉพาะธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ดำเนินการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. ซึ่งถูกจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ. 2553 ทั้งนี้ เอไอเอส ผ่านบริษัทย่อย ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและมีใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ได้แก่ ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 2100, 1800 และ 900 เมกะเฮิรตซ์ รวมทั้งเป็นพันธมิตรในการใช้งานคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิรตซ์กับทีโอที ทำให้เอไอเอสมีคลื่นความถี่ใช้งานรวม ณ สิ้นปี 2562 ทั้งสิ้น 2x60 เมกะเฮิรตซ์ เอไอเอสมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบในการจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาต การสบทบเงินเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และค่าธรรมเนียมการใช้เลขหมายแก่ กสทช. โดยรวมค่าธรรมเนียมทั้งหมดคิดเป็นประมาณร้อยละ 4 ของรายได้การให้บริการในแต่ละปี
ใช้แนวคิดในการบริการลูกค้า “ที่ 1 ดูแลด้วยใจ ให้ชีวิตดิจิทัล”
โดยผนวกทั้งความเข้าใจและความใส่ใจลูกค้าในรายละเอียดให้ บริการที่ผสานเทคโนโลยีและการบริการด้วยพนักงาน (Human Touch) เข้าด้วยกัน โดยให้ความสำคัญในการบริการด้วยความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ความสามารถในการจัดการด้วยตนเอง รวมทั้งบริการที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคน (Personalization) เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยมีผลความพึงพอใจจากการประเมินดังนี้
ผลประเมินความพึงพอใจ | 2559 | 2560 | 2561 | 2562 | เป้าหมาย 2562 |
---|---|---|---|---|---|
ผู้รับบริการที่มีความพึงพอใจ | 86% | 88% | 88%* | 89%* | 88% |
* | การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณผลความพึงพอใจ : บริษัทได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณผลความพึงพอใจจากระบบ 3 ระดับคะแนน เป็นระบบ 5 ระดับคะแนน ตั้งแต่ปี 2561 รายละเอียดดังนี้
|
2558 | 2559 | 2560 | 2561 | 2562 | |
---|---|---|---|---|---|
การจ่ายเงินปันผล (บาทต่อหุ้น) | 12.99 | 10.08 | 7.08 | 7.08 | 7.34 |
1. เงินปันผลระหว่างกาล | 6.50 | 5.79 | 3.51 | 3.78 | 3.78 |
2. เงินปันผลครึ่งปีหลัง | 6.49 | 4.29 | 3.57 | 3.30 | 3.56 |
อัตราการจ่ายเงินปันผล (ร้อยละ) | 99 | 98 | 70 | 71 | 70 |
ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขันในปี 2562
และแนวโน้มในปี 2563
ส่วนแบ่งตลาดเชิงผู้ใช้บริการของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขันในปี 2562
ภาพรวมของปี 2562 อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมของอุตสาหกรรมของปี 2562 มูลค่าประมาณ 330,000 ล้านบาท เติบโตที่ร้อยละ 4 สูงกว่าปีก่อนที่มีอัตราการเติบโตร้อยละ 2 และเติบโตเหนือกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เติบโตร้อยละ 2.4 โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งตลาดรวมกว่า 93 ล้านราย เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2 คิดเป็นอัตราการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 140 ของประชากร โดยมีจำนวนลูกค้าระบบรายเดือนเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 9 ในขณะที่ลูกค้าระบบเติมเงินยังคงเท่าเดิม เกิดจากแนวโน้มความนิยมในการใช้งานแบบรายเดือนที่มีแคมเปญให้ส่วนลดโทรศัพท์ และการมีแพ็กเกจที่เหมาะสมต่อการใช้งาน 4G ที่มากขึ้น ทำให้สัดส่วนลูกค้าระบบรายเดือนของทั้งอุตสาหกรรมเติบโตจากร้อยละ 24 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 26 ในปีนี้ และมีลูกค้าที่ใช้งานเทคโนโลยี 4G คิดเป็นประมาณร้อยละ 66 ของตลาดรวม เติบโตจากปีก่อนที่อยู่ประมาณร้อยละ 60 ด้วยการใช้งาน 4G ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการแข่งขันด้านราคาและการปรับราคาแพ็กเกจในปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน (ARPU) ของทั้งอุตสาหกรรมในช่วงปลายปีนี้เติบโตขึ้น โดยการแข่งขันในปีที่ผ่านมามีการปรับตัวดีขึ้นบ้างจากปีก่อน แต่ยังคงเป็นด้านการแข่งขันราคาแพ็กเกจดาต้าเป็นหลัก และยังคงมีการนำเสนอแพ็กเกจแบบใช้งานดาต้าไม่จำกัดด้วยความเร็วคงที่ (Fixed-speed Unlimited) ซึ่งทำให้ลูกค้าใช้งานปริมาณดาต้าสูงแต่สร้างรายได้จำกัดด้วยค่าบริการเหมาจ่าย นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังคงใช้ส่วนลดค่าเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นกลยุทธ์สำคัญ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือและผูกแพ็กเกจรายเดือน
ในเดือนมิถุนายน กสทช. ได้จัดสรรคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ ให้แก่ เอไอเอส ทรู และดีแทค โดยทั้งสามผู้ให้บริการได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่รายละ 2x10 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมกับเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสามารถเริ่มต้นใช้งานคลื่นความถี่พร้อมชำระเงินงวดแรกช่วงประมาณปลายปี 2563 หรือจนกว่า กสทช. จะกำหนดเป็นอย่างอื่น โดยคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ ถือเป็นคลื่นความถี่มาตรฐานของเทคโนโลยี 5G ในย่านความถี่ต่ำที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านความครอบคลุม ช่วยให้บริการ 5G มีความครอบคลุมที่ดี ทั้งนี้ จากการรับการจัดสรรดังกล่าว ทำให้งวดการชำระเงินเดิมของใบอนุญาต 900 เมกะเฮิรตซ์ ขยายออกไปจนถึงปี 2568
ตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงมีการของเติบโตได้ดีในปี 2562 ตามฐานผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เติบโตจาก 9.2 ล้านครัวเรือนในปี 2561 เป็นกว่า 10 ล้านครัวเรือนในปี 2562 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 10 ผลักดันให้อัตราส่วนครัวเรือนที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงต่อจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับร้อยละ 43 ในปี 2561 เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม รายได้รวมของอุตสาหกรรมเติบโตเพียงร้อยละ 2 และมีมูลค่ารวมประมาณ 58,000 ล้านบาท จากการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการทุกรายยังคงเน้นไปที่การให้ส่วนลดครึ่งราคาเพื่อป้องกันการไหลของลูกค้าเก่า และเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ รวมถึงมีแคมเปญส่วนลดเพื่อแย่งชิงลูกค้าจากผู้ให้บริการรายเดิม และแม้ระดับราคาในตลาดยังคงอยู่ในช่วง 500 – 600 บาทต่อเดือน แต่ผู้ให้บริการได้เน้นไปที่การปรับความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น จาก 50 เมกะบิตต่อวินาที เป็น 200 เมกะบิตต่อวินาทีในช่วงปลายปี นอกจากนี้ ผู้ให้บริการได้นำเสนอแพ็กเกจที่มีระดับความเร็ว 1 กิกะบิตต่อวินาที ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้นประมาณ 800-1,000 บาท ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ต่อรายต่อเดือน (ARPU) ของอุตสาหกรรมจึงลดลงจากปีก่อน ในขณะที่ผู้ให้บริการที่มีบริการครบวงจร ยังคงดึงดูดลูกค้าด้วยการเน้นการขายแพ็กเกจที่รวมหลายบริการ (Convergence) เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซิมอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์มือถือ และคอนเทนต์ โดยมุ่งหวังลูกค้าที่มีคุณภาพในระยะยาว
แนวโน้มในปี 2563
ในเดือนธันวาคม 2562 กสทช. ได้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 700 เมกะเฮิรตซ์, 1800 เมกะเฮิรตซ์, 2600 เมกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ ประกอบด้วย รายละเอียดในแต่ละชุดคลื่นความถี่ ราคาขั้นต้น เงื่อนไขการชำระเงิน เป็นต้น ทุกคลื่นมีระยะเวลาการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 15 ปี และการประมูลจะจัดขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยในปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการต่างเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเพื่อเตรียมรับ 5G กันอย่างคึกคัก และได้ร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมหาวิทยาลัยและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในการวิจัยและพัฒนา เพื่อทดสอบทดลองหารูปแบบการใช้งาน (use case) ก่อนเปิดให้ใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ พร้อมหาพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Alliance) เพื่อหารูปแบบทางธุรกิจใหม่ร่วมกัน และส่งเสริมการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเทคโนโลยี 5G จะหนุนบริการในตลาดผู้บริโภค เช่น การดูวิดีโอความละเอียดสูง (Video streaming) การเล่นเกมผ่านระบบคลาวด์ และการนำเสนอสื่อและความบันเทิงในรูปแบบที่ตอบสนองกับผู้ใช้งาน (Interactive content) ที่ขับเคลื่อนด้วยบริการเสมือนจริง (Augmented Reality/Virtual Reality: AR/VR) สำหรับบริการในตลาดลูกค้าองค์กรหรือกลุ่มธุรกิจ 5G สามารถสร้างบริการในรูปแบบใหม่ผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ภาคการผลิต การบริการ การเกษตร ตัวอย่างบริการเช่น ระบบการผลิตอัตโนมัติ การควบคุมอุปกรณ์เครื่องมือระยะทางไกล ระบบการดูแลบ้านแบบอัจริยะ เป็นต้น โดยในเบื้องต้น การให้บริการ 5G น่าจะเริ่มในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และพื้นที่เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ (Smart city) และจะเริ่มมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่รองรับเทคโนโลยี 5G เข้ามาในตลาดไทย
ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากแนวโน้มความต้องการใช้งานดาต้าที่เพิ่มสูงขึ้นตามการใช้งานโซเชียลมีเดีย เกมส์ และการสตรีมคอนเทนต์ด้านวิดีโอที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชุมชนเมือง ในแง่จำนวนลูกค้าของตลาดรวมอาจจะไม่ได้เพิ่มมากนัก แต่ปัจจัยที่ที่ส่งเสริมการเติบโตจะเป็นการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้งานดาต้าโดยเฉพาะในระบบ 4G จากปัจจุบันที่มีจำนวนลูกค้าที่ใช้งาน 4G ประมาณร้อยละ 6x ของฐานลูกค้ารวม เติบโตจากร้อยละ 59 ในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอาจเป็นปัจจัยกดดันทำให้ผู้บริโภคอาจจะยังต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ดังนั้น การแข่งขันในอุตสาหกรรมของปี 2563 จึงน่าจะยังคงมีต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอแพ็กเกจที่คุ้มราคาเพื่อดึงดูดลูกค้า มีแคมเปญการตลาดโดยให้ส่วนลดโทรศัพท์มือถือ โดยคาดว่าแนวโน้มการเติบโตในตลาดรายเดือนจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องจากการย้ายจากระบบรายเติมเงินเป็นรายเดือน และผู้ให้บริการต่างมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าระบบรายเดือนเนื่องจากมีรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือนที่สูงกว่าระบบเติมเงิน
การขยายตัวของชุมชนเมือง (Urbanization rate) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความต้องการใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น ประกอบกับอัตราส่วนครัวเรือนที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ยังสามารถขยายตัวได้จากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 47 ทำให้ผู้ให้บริการทุกรายยังคงเน้นขยายความครอบคลุมของบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยการให้บริการหลักยังคงผ่านเทคโนโลยี FTTx ซึ่งมีความเร็วสูงได้ถึงระดับ 1Gbps (กิกกะบิตต่อวินาที) แต่ก็ต้องพิจารณาการลงทุนในพื้นที่ที่มีความต้องการของตลาดอย่างชัดเจนและคุ้มค่ากับการลงทุน สำหรับในบางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่รอบนอกตัวเมืองหรือพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความคุ้มทุนในการเดินสายไฟเบอร์ เทคโนโลยี 5G จะเข้ามามีส่วนเสริมการครอบคลุมในพื้นที่เหล่านี้ให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้โดยผ่านเครือข่าย 5G หรือที่เรียกว่า WTTx ด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านแบบไร้สาย (Fixed Wireless Access) ซึ่งเป็นการใช้ 5G เราท์เตอร์สำหรับอินเทอร์เน็ตบ้านเพื่อรับสัญญาณ แทนการลากสายไฟเบอร์ที่มีข้อจำกัด และยังส่งผลให้ผู้ให้บริการสามารถบริหารต้นทุนการติดตั้งโครงข่ายให้เหมาะสมกับพื้นที่และความต้องการของผู้บริโภคได้ดีมากขึ้น
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ
ใน 3 ปี
ความก้าวหน้าของเทคโลโนโลยีในยุคดิจิทัลได้สร้างการเปลี่ยนแปลงกับอุตสาหกรรมอย่างมาก โดยเฉพาะการสร้างให้เกิดการผลิตสินค้าและการให้บริการในรูปแบบใหม่ที่หลากหลาย อุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่จะได้เริ่มเห็นการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ในเชิงพาณิชย์ในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีบริการต่างๆ ที่จะเกิดมากขึ้นในยุคเทคโนโลยีสื่อสาร 5G เช่น สื่อสามมิติ การจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง โฮโลแกรม การออกอากาศแบบเรียลไทม์ เป็นต้น ซึ่งความสามารถของเทคโนโลยีเหล่านี้จะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยี 5G ก็ถือเป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจรูปแบบเดิมจากความสามารถของเทคโนโลยีที่ช่วยปฎิวัติการทำธุรกิจด้วยการนำเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่ และการให้บริการลูกค้าด้วยนวัตกรรมที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลรายใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า ผู้ให้บริการ over the top (OTT) เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้เป็นเจ้าของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเอง และมีบทบาทในการเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับลูกค้าในการให้บริการ ในขณะที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเป็นเพียงการเชื่อมต่อเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มเหล่านั้น
เอไอเอสจึงมุ่งมั่นเพื่อไปสู่เป้าหมายของการเป็น “ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์” (Digital Life Service Provider) ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก ได้แก่ บริการโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง และดิจิทัลโซลูชั่น อีกทั้งยังมีความตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดมานำเสนอและให้บริการเพื่อสนับสนุนวิถีชีวิตของคนไทย รวมไปถึงสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของไทยด้วยเทคโนโลยีที่จะช่วยเสริมความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
การใช้งานอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลมาจากราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทสมาร์ทโฟนที่ลดลงและสามารถเข้าถึงได้สำหรับประชากรในวงกว้าง รวมถึงการเติบโตของแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เช่น การให้บริการธนาคารผ่านแอพลลิเคชั่น อี-คอมเมิร์ซ วีดีโอสตรีมมิ่ง ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย เอไอเอสในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมและความสามารถในการให้บริการ ทั้งด้วยเทคโนโลยี 4G ในปัจจุบันและเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาถึงในอนาคตอันใกล้ด้วยการค้นคว้าพัฒนาร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าบริการ 4G จะยังมีควบคู่ไปกับพร้อมกับบริการใหม่อย่าง 5G เอไอเอสจะมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำเพื่อนำเสนอสื่อและความบันเทิงที่หลากหลายมิติในยุคใหม่ รวมทั้งการให้บริการที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและดียิ่งขึ้น อีกทั้งมีเป้าหมายสำคัญในการคงความเป็นผู้นำของอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการบริการและการดำเนินงานที่เป็นเลิศ พร้อมด้วยระบบเครือข่ายที่มีคุณภาพ
ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5G นั้น เอไอเอสให้ความสำคัญที่จะสร้างองค์ความรู้ในเชิงเทคโนโลยี และร่วมศึกษาตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยีกับคู่ค้าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของ 5G ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของเทคโนโลยี 5G ทั้งด้านความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูล (Speed) ความว่องไวในการตอบสนอง (Latency) และความสามารถในการเชื่อมต่อข้อมูลในปริมาณมาก (Massive connectivity) ส่งผลให้สามารถนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้เพื่อเสนอบริการรูปแบบใหม่ๆ อย่างไม่จำกัดให้กับผู้บริโภค รวมถึงการใช้งานสำหรับองค์กร อาทิ การประชุมทางวีดีโอแบบสามมิติ การทำงานในระบบคลาวด์ ระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์ในระดับ Mission Critical และสมาร์ทซิตี้/สมาร์ทโฮม/สมาร์ทคาร์ เป็นต้น สำหรับลูกค้าองค์กร เอไอเอสเตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาการใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติในกระบวนการต่างๆของอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดการข้อมูลลูกค้าสำหรับองค์กรโดยเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหมายในการใช้ความเชี่ยวชาญและความรู้ด้านเครือข่ายเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะทางของธุรกิจแต่ละประเภท รวมถึงการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ๆ
อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภายในบ้านที่มีคุณภาพดีกลายเป็นสิ่งจำเป็นของคนไทยในยุคดิจิตอล อันเนื่องมาจากความนิยมในการดูวิดีโอสตรีมมิ่ง และการเข้าถึงคอนเทนต์และเกมส์ที่มีความละเอียดสูง ดังนั้นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น มีความเสถียรที่สูง และสามารถรองรับข้อมูลในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เอไอเอสจึงมุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายความครอบคลุมของอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่ความเจริญได้ขยายตัวไปถึง โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ให้บริการในปัจจุบัน ทั้งนี้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายในบ้านจะได้ประโยชน์จากการปรับใช้สัญญาณ 5G เป็นเพื่อให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบ้านแบบไร้สาย (FWA) ซึ่งสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เข้าถึงพื้นที่ที่สายไฟเบอร์เข้าถึงได้ยาก ด้วยต้นทุนที่สูงหรือมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ในการติดตั้งและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ จุดเด่นของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย คือ การลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการติดตั้ง เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อสายไฟเบอร์ออพติกเข้าไปในพื้นที่ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ไร้สายแทน
การขยายเข้าสู่บริการอินเทอร์เน็ตภายในบ้านเป็นการเปิดโอกาสให้เอไอเอสสามารถขยายเข้าสู่บริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในครอบครัวที่เพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิ บริการสื่อบันเทิงภายในบ้าน บริการความปลอดภัย รวมไปถึงระบบอัตโนมัติต่างๆ ภายในที่พักอาศัย เป็นต้น โดยเอไอเอสมุ่งมั่นที่จะให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีเสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกอาคารทั้งสำหรับลูกค้ารายบุคคลและครอบครัว เพื่อที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ต้องการการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ด้วยบริการที่ราบรื่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หลากหลายประเภท นอกจากนี้ เอไอเอสยังคงต่อยอดการขยายฐานลูกค้าบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยนำเสนอบริการกับฐานลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ปัจจุบันเพื่อนำเสนอบริการที่ครบถ้วนในแพ็กเกจเดียว ทั้งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมไปถึงบริการ AIS PLAY วิดีโอคอนเทนต์ หรือ AISPLAY
ในขณะที่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ความสนใจของผู้บริโภคนั้นไม่ใช่เพียงการเข้าถึง แต่อยู่ที่บริการดิจิตอลที่ลูกค้าได้รับซึ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการอยู่ที่ปลายทางมากกว่าเส้นทางไปสู่ปลายทางนั้น เอไอเอสจึงมุ่งหวังที่จะขยายการให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์ซึ่งออกแบบให้ตรงความต้องการของผู้บริโภครายบุคคลที่สามารถเลือกสรรตามรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองแบบเรียลไทม์ เช่น วิดีโอสตรีมมิ่ง บริการด้านการเงินในโทรศัพท์เคลื่อนที่ IoT (Internet of Things) หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ถูกสั่งการได้จากการเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต ระบบคลาวด์ การให้บริการเกมออนไลน์ และบริการประกันภัยออนไลน์ ด้วยแนวคิดในการขยายสู่บริการดิจิทัลกับฐานลูกค้าในวงกว้างนั้น ต้องอาศัยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน ร่วมกันสร้างบริการหรือแพลตฟอร์มที่ง่ายต่อการใช้งานและสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้า และมีรูปแบบการสร้างรายได้การให้บริการที่หลากหลาย ทั้งรายได้ในรูปแบบการสมัครสมาชิก ค่าธรรมเนียม ไปจนถึงรายได้จากการโฆษณา
สำหรับลูกค้าประเภทองค์กร เอไอเอสมุ่งมั่นที่จะมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการปรับโครงสร้างธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิตอล โดยนำเสนอบริการที่ก้าวล้ำในรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของบริการระบบคลาวด์ เพื่อตอบสนองความต้องการในระบบคลาวด์ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และด้วยร่วมความร่วมมือกับผู้ให้บริการไอซีทีชั้นนำ เอไอเอสจะสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศที่มีความปลอดภัยและเสถียรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งขององค์กร และส่งเสริมความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
เอไอเอสมุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของการให้บริการทั้งด้วย 1) Data Analytics การวิเคราะห์ Big data เพื่อใช้คาดการณ์อนาคต, 2) กระบวนการ RPA (Robotic Process Automation) หรือการนำกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ มาปรับใช้ในงานที่ทำเป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และ 3) การพัฒนาบุคคลากรเพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ในลำดับแรกเริ่มจากการบริหารจัดการคุณค่าของลูกค้า (Customer Value Management หรือ CVM) โดยการปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยการวิเคราะห์ระบบฐานข้อมูล ซึ่งลูกค้าจะได้รับบริการตรงกับความต้องการในช่องทางที่เหมาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย โดยเอไอเอสไม่เพียงแต่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้แพลตฟอร์มต่างๆ ที่เอไอเอสมีอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังสามารถนำเสนอบริการอื่นๆ ที่หลากหลายจากพันธมิตรเพื่อสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าที่มีความซับซ้อมมากยิ่งขึ้น ประการที่สอง เอไอเอสจะผนวกรวมเทคโนโลยีต่างๆ เช่น RPA, ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) และแมชชีน เลิร์นนิ่ง (Machine Learning หรือ ML) เพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าและกระบวนการทำงานภายใน โดยระบบปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาเติมเต็มความสามารถของบุคคลากรทั้งในการเสริมประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดของบุคคลากร อีกทั้งยังสามารถให้บริการแบบ On-demand โดยไม่มีข้อจำกัดในด้านเวลา นอกจากนี้ การผนวกรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกันจะช่วยให้เอไอเอสสามารถเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนได้อีกด้วย ท้ายที่สุด บุคลากรยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้นท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เอไอเอสจึงเน้นย้ำให้พนักงานเตรียมรับมือต่อการเติบโตในอนาคต พร้อมสามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดสถาบัน เอไอเอส อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ (AIS Innovation Center) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลซึ่งเปิดสอนหลักสูตรที่หลากหลายและเข้าถึงได้ตลอดเวลาโดยจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะของบุคลากรได้เป็นอย่างดี การเสริมสร้างความแข็งแกร่งดังกล่าวจะช่วยให้บุคลากรของเอไอเอสพร้อมใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการทำงานและเข้าสู่เป้าหมายโดยรวมของการเป็น 'ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์' ได้
การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ 7 ด้านสู่
การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
เอไอเอสกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจสู่การพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับการมุ่งพัฒนาบริการด้านดิจิทัลไลฟ์ โดยใช้ประสบการณ์และความเชื่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี การบริหารความสัมพันธ์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ พร้อมให้ความสำคัญกับการตอบสนองต่อความท้าทายและโอกาสที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านกลยุทธ์ 7 ด้านสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ดังนี้
สิ่งแวดล้อม
ลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้คนไทยร่วมกันกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี
ลดปริมาณคาร์บอนจากกระบวนการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
เศรษฐกิจ
สร้างสินค้าบริการผ่านนวัตกรรมด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและส่งเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจ
พัฒนาระบบการป้องกันภัยไซเบอร์ และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่เชื่อถือได้
สังคม
สร้างและส่งเสริมบุคลากรของเอไอเอส ให้มีความพร้อมต่อการเติบโตของธุรกิจในด้านใหม่ๆ
ยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ของชุมชนและลดความเลื่อมล้ำทางสังคม ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชั่นด้านดิจิทัล
มุ่งสร้างแบรนด์ที่ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์อย่างเหมาะสม และปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน
เอไอเอสผนวกกลยุทธ์ 7 ด้านสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เข้าสู่กระบวนการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การกำหนดทิศทางการดำเนินงาน การกำกับดูแลกิจการ การพัฒนาสินค้าและบริการ การบริหารจัดการนวัตกรรมและบุคลากร โดยวางเป้าหมายในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว พร้อมกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรายงานการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ http://sustainability.ais.co.th/th/report/sustainability-report